Kyoto | Tofukuji Temple วัดโทฟุคุจิ
หลังจากไปเที่ยวศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ แวะไปชมเสาแดงหมื่นต้นมาแล้ว จากศาลเจ้า เดินทางมาอีกไม่ไกลมาถึงวัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น” จะสวยงามขนาดไหน ไปติดตามกันครับ
การเดินทาง
นั่งรถไฟ JR สาย Nara Line มาลงที่สถานี Tofukuji ใช้เวลา 10-15 นาที (เดินค่อนข้างไกลทีเดียวกว่าจะถึงวัดครับ)
เวลาเปิดปิด
09:30 – 16:30 (เม.ย. – ต.ค.)
08:30 – 16:30 (พ.ย. – ต้น ธ.ค.)
09:00 – 16:00 (ต้น ธ.ค. – มี.ค.)
เปิดให้เข้าชมก่อนเวลาปิด 30 นาที
ค่าเข้าชม
400 เยน (สำหรับ Tsutenkyo Bridge และ Kaisando Hall)
400 เยน (สำหรับ Hojo และ Gardens)
เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยนเยือนเป็นจำนวนมาก จากสถานีเราสามารถเดินตามฝูงชนได้เลยไม่ต้องกลัวหลงทางแต่อย่างใด
ก่อนถึงประตูใหญ่หน้าวัด จะผ่านสะพานไม้ที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีจุดแรก นักท่องเที่ยวมักหยุดถ่ายรูปกันตรงนี้ เพราะจากจุดนี้เมื่อมองเข้าไปจะเห็นพุ่มใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม และสะพานซึเทนเคียว (Tsutenkyo Bridge) ซึ่งอยู่ไกลๆ
เดินต่ออีกนิดก็ถึงประตูใหญ่ ระหว่างทางไปวัด ฝนตกโปรยปรายเป็นระยะ
วัดโทฟุคุจิ(Tofukuji Temple) สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1236 โดยตระกูลฟูจิวาระ(Fujiwara clan) เป็นวัดเสาหลักแห่งหนึ่งของนิกายเซ็น มีชื่อเสียงในการชมใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วง โดยชื่อของวัดมาจากการยืมชื่อวัด 2 แห่งในนารา(Nara) คือ วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) – หรือวัดกวางที่เรารู้จัก และวัดโคฟุกุจิ (Kofukuji Temple)
เดินเข้ามาในส่วนของวัดจริงๆแล้ว แวบไปซื้อตั๋วเข้าชมสวนคนละ 400 เยน
ช่วงพีคๆของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บนสะพานซึเทนเคียวคนจะหนาแน่นมากจนแทบไม่มีที่ยืน
พอมาถึง ใบไม้ร่วงลงกับพื่นไปเยอะเลยครับ แต่ก็สวยไปอีกแบบ
สะพานซึเทนเคียวทอดยาวกว่า 100 เมตร เป็นสะพานข้ามหุบเขาเมเปิ้ลไปด้านล่าง เมื่อลงไปด้านล่างจะมีสวนหินโฮโจ (Hojo Garden) ซึ่งเป็นสวนหินของนิกายเซน
ขอเล่าเรื่องด้วยภาพละกันนะครับ
นอกเหนือจากสะพานซึเทนเคียว ยังมีประตูซานม่อน (Sanmon) ความสูง 22 เมตร สร้างเป็นแบบเซ็นโบราณ ด้านหลังประตูคือห้องโถงหลักฮอนโด(Hondo) ที่ได้มีการบูรณะเมื่อปี 1934 รอบๆบริเวณนั้น มีอาคารต่างๆของวัดในช่วงต้นสมัยมูโรมาชิ (ค.ศ. 1333 – 1573) และสถาปัตยกรรมแบบเซ็น เช่น ห้องสวดมนต์(zendo) หอระฆัง(shoro) ห้องอาบน้ำ(yokushitsu) และห้องน้ำ(tosu)
แต่เนื่องจากฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก + อากาศไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร ถ่ายรูปค่อนข้างลำบาก เราเลยตัดสินใจเดินทางกลับ