Nagoya | Osu Kannon Temple & Science Museum
โปรแกรม Autumn in Japan : Nagoya ช่วงเช้า แวะย่านเก่าแก่ของเมือง Osu Kannon Temple และ Shopping Arcade สถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เดินเรื่อยไปจนถึง Science Museum พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Osu Kannon Temple – การเดินทาง
รถไฟใต้ดินสะดวกและง่ายที่สุด โดยใช้เส้นทาง Tsurunai Line สายสีฟ้า มาลงที่สถานี Osu Kannon ออกจากสถานี เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง วัดอยู่ทางซ้ายมือครับ
หากเริ่มต้นจากสถานี Nagoya ใช้เล้นทาง Higashiyama Line และ ต่อไปยังสาย Tsurunai Line ตามแผนที่ครับ หรือเดิน 5-10 นาที จากสถานี Kamimaezu ถนนช็อปปิ้ง Osu Kannon Shopping Arcade ซึ่งอยู่ติดกับวัด
ค่าเข้าชม
ฟรี
เวลาเปิด-ปิด
วัด – เปิดตลอดเวลา
ถนนคนเดิน – 11:00 – 20:00 (แต่ละร้านเปิด-ปิดไม่พร้อมกัน)
Science Museum – การเดินทาง
รถไฟใต้ดินสะดวกและง่ายที่สุดเช่นกัน โดยใช้เส้นทาง Tsurunai Line สายสีฟ้า หรือ Higashiyama Line สายสีเหลือง มาลงที่สถานี Fushimi จากนั้นเดินอีก 5-10 นาที
ค่าเข้าชม
400 เยน เฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑ์ (800 เยน + โชว์ที่ท้องฟ้าจำลอง)
เวลาเปิด-ปิด
09:30 – 17:00
ปิดทุกวันจันทร์ (หากตรงกับวันหยุดราชการ จะปิดวันอังคาร)
ปิดทุกศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน (หากตรงกับวันหยุดราชการ จะปิดวันศุกร์สัปดาห์ถัดไป)
ปิดตั้งแต่ 29 ธ.ค. – 3 ม.ค. (คร่อมเทศกาลปีใหม่)
แพลนการเดินทางครึ่งเช้าวันนี้ เราเริ่มต้นที่วัดโอสุคันนง เดินทะลุถนนคนเดินติดกับวัด สุดถนนแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปจนสุด ข้ามถนนไปยังสวนสาธารณะชิราคาว่า จากนั้นเดินไปตัดสวนไป พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์อยู่อีกด้านของสวนครับ – ระยะทางรวมเกือบโล แต่เดินได้ชิลๆครับ หามุมสวยๆได้ตลอดสองข้างทาง
ตื่นแต่เช้าตรู่ ออกมาสำรวจรอบๆบริเวณที่พัก วันนี้อากาศแจ่มใสทีเดียว ฟ้าเป็นฟ้า
อยู่ดีๆเดินไปเจอตึกทรงแปลกนี้เข้า ตึกนี้มีชื่อว่า Mode Gakuen Spiral Towers เป็นที่ตั้งของโรงเรียนวิชาชีพ 3 แห่งได้แก่ Mode Gakuen โรงเรียนสอนแฟชั่นดีไซน์, HAL โรงเรียนสอนด้าน IT และการออกแบบ และ ISEN โรงเรียนด้านการแพทย์
ตึกรูปเกลียวนี้เป็นตึกที่เข้ารอบสุดท้ายของการประกวดคัดเลือกตึกสูงที่ดีที่สุดจาก CTBUH – Council on Tall Buildings and Urban Habitat ในปี 2009 ในเรื่องของการออกแบบ โครงสร้าง นวัตกรรมที่สอดรับกับสังคมเมืองและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (อ่อ ลืมบอกไปครับว่า CTBUH เป็นองค์กรที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบ การก่อสร้างตึกสูง รวมถึงการกำหนดข้อตกลง การวิจัยและพัฒนาการสร้างตึกสูงในอนาคต)
จุดเด่นของตึกรูปเกลียวนี้คือ เมื่อมองจากคนละจุด จะเห็นตึกรูปร่างแตกต่างกันออกไป
MODE HAL ISEN คือชื่อโรงเรียนวิชาชีพทั้ง 3 แห่งบนตึกแห่งนี้
ต้นแปะก๊วยที่นาโกย่าเหลืองอ๋อยได้ใจ ไม่คิดว่าเลยช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีแล้วยังเห็นอยู่
ได้เวลาออกเดินทางไปวัดกันแล้ว มาทริปนี้ถือว่าโชคดีอย่างนึงคือได้ขึ้นรถไฟใต้ดินในช่วง Rush Hour ได้ซึมซับบรรยากาศตอนเช้าในญี่ปุ่น เหมือนกับมีคนนับล้านอัดแน่นอยู่ในสถานี (เว่อร์ไป)
และแล้วก็ถึงวัดซะที โย่!
Osu Kannon Temple
วัดโอสุคันนง คือวัดพุทธที่เก่าแก่และคนมาเที่ยวเยอะที่สุดในนาโกย่า ถูกสร้างขึ้นสมัยคามาคูระ (ค.ศ. 1192-1333) ในจังหวัดกิฟุ (บ้านใกล้เรือนเคียงกับจังหวัดไอจิ – เมืองนาโกย่า) ต่อมาในปีค.ศ. 1612 วัดแห่งนี้ถูกย้ายมาที่นาโกย่าโดย โทกุกาว่า อิเอยาสุ (หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ ผู้รวมรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น) หลังจากวัดแห่งเดิมเสียหายร้ายแรงจากภัยพิบัติน้ำท่วม ในปี 1820 หลายส่วนของวัดถูกไฟไหม้ เสียหายมาก จนกระทั่งในปี 1970 วัดแห่งนี้ถูกบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
สถานที่แห่งนี้ประดิษฐานของรูปปั้นเทพคันนง หรือที่เรารู้จักในชื่อ “เจ้าแม่กวนอิม” เทพแห่งความเมตตา เป็นรูปปั้นที่แกะสลักจากไม้ฝีมือของ โคโบ ไดอิชิ ช่างศิลป์ที่มีชื่อเสียง+มีอิทธิพลต่อญี่ปุ่นมากในสมัยนั้น ด้านล่างของหอกลางคือห้องสมุด Shinpukuji ซึ่งรวบรวมตำราจีนและญี่ปุ่นกว่า 15,000 เล่ม ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสำเนาของโคจิกิ (Kojiki) พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุด ตำนานซึ่งเล่าถึงจุดกำเนิดของดินแดนอาทิตย์อุทัย
ด้านในถ่ายรูปได้ตามสบายครับ หลวงพ่อไม่ว่า 😀
ถึงขั้นตอนสาดรูป พาไปชมมุมสวยๆของวัดกัน
อีกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือ นกพิราบ ตรงลานวัด เยอะได้ใจจอร์จมาก เดาว่าคนคงให้อาหารพวกมันบ่อย เลยตั้งถิ่นฐานอยู่แถวนี้ซะเลย ถ้าอยากได้รูปนกบินทั้งฝูง ให้ย่องไปใกล้ๆ แล้วกระโจนเข้าใส่จะเห็นพวกมันกระพือปีกบินกันพรึ่บพรั่บ (ขนาดคนยืนอยู่เฉยๆ มันยังไม่กลัว นับประสาอะไรกับหมา จริงไหม -_-“)
ทุกวันที่ 18 และ 28 ของเดือน จะมีตลาดนัด ขายทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ของที่ระลึก ของเก่า ไปจนถึงเสื้อผ้าและของมือสอง
ด้านข้างวัดจะมีทางเดินเข้าย่านร้านค้า ซึ่งก็คือถนนคนเดิน Osu Kannon Shopping Arcade นั่นเอง ร้านค้าร้านอาหารกว่า 400 แห่งตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งบางคนเปรียบเหมือนกับย่านอากิฮาบาร่า (Akihabara) ที่โตเกียว เพราะเต็มไปด้วยร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอสเพลย์ อนิเมะ เจป๊อปก็สามารถหาซื้อได้บริเวณเหมือนกัน
ช่วงที่ไปยังเช้าอยู่ (เก้าโมงกว่า) ร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดกัน
เดินเข้าตรอกมา เห็นศาลเจ้าเล็กๆข้างใน (มีเสาโทริอิ + รูปปั้นจิ้งจอก เหมือนแบบฉบับย่อส่วนของศาลเจ้า Fushimi Inari ในเกียวโต)
จะเห็นว่าถนนช็อปปี้งนี้ ไม่ได้มีแค่เส้นนี้เส้นเดียว (จริงๆแล้วใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก) เหมาะสำหรับใครที่มีเวลาเหลือเฟือ เมื่อเดินจนสุดด้านล่างคือสถานีรถไฟใต้ดิน Kamimaezu
เดินมาไกลพอสมควร ใกล้ถึงที่หมายละ Next Station >> Science Museum
เจอน้องๆหนูๆกำลังเดินไปมิวเซียมอย่างขะมักเขม้น
มาทริปนี้ได้เห็นใบไม้ทั้ง 3 สี (เหลือง เขียว แดง) ช่วงพีคการเปลี่ยนสีของแต่ละต้นไม่เท่ากัน
เป็นเรื่องที่สะใภ้ เอ้ย เซอร์ไพรส์มากที่ยังเห็นใบไม้แดง ณ นาโกย่า (ขแม้จะไม่เต็มต้น แต่ก็ดีกว่าไม่เห็นล่ะนะ)
ผ่านเข้าสวนมาก็จะเจอ Nagoya City Art Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะ
ขนาดกระจกยังมีหลายแบบ เชื่อเลยว่าความอาร์ทไม่เข้าใครออกใคร
สะพานข้ามถนนสำหรับคนรักการปั่นจักรยาน
ดูเหมือนจะชัน แต่ไม่เลยครับ (ลองย้อนกลับไปดูรูปที่แล้ว)
อีกมุมของ Nagoya City Art Museum
นั่งมองอยู่นานว่ามันสื่อถึงอะไร แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ -_-
Nagoya Science Museum
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งนาโกย่านี้ โดดเด่นด้วยรูปทรงกลมสีเงิน ที่นี่ได้รับการรับรองจากกินเนสส์บุ็คว่าเป็นท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โปรแกรมของท้องฟ้าจำลองยังปรับเปลี่ยนไปในแต่ละเดือนขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์ทางอวกาศในขณะนั้น นอกจากนี้ไฮไลท์สำคัญอื่นๆในพิพิธภัณฑ์ยังมี “ห้องทดลองทอร์นาโด” ซึ่งสามารถชมพายุหมุนเทียมความสูง 9 เมตร”, “ห้องทดลองปล่อยกระแสไฟ” ซึ่งจำลองปรากฏการณ์ฟ้าผ่า และ ห้องทดลองความหนาวสุดขั้ว” ซึ่งจำลองความหนาว -30 องศาเซลเซียสไว้ประหนึ่งเหมือนอยู่ที่ขั้วโลก
ด้านในพิพิธภัณฑ์ มีทั้งหมด 5 ชั้น อัดแน่นด้วยสื่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของที่มาแสดงมีลูกเล่นต่างๆเยอะแยะมาก ใครมีลูกๆหลานๆ แนะนำอย่างยิ่งให้เข้าไปชม (ส่วนตัวไม่ได้เข้าไปครับ เพราะเกรงว่าจะกินเวลาเยอะ และเราต้องเดินทางไปที่อื่นต่อ)
มองนาฬิกา สิบโมงกว่า ได้เวลาเตรียมตัวเคลื่อนพลไปทานข้าวหน้าปลาไหลย่าง Hitsumabushi … Go Go Go !!!