Miyajima | ศาลเจ้าลอยน้ำ Itsukushima Shrine และเสาโทริอิยักษ์
ผมเชื่อว่าใครหลายๆคนคงเคยได้เห็นเสาโทริอิหรือซุ้มประตูญี่ปุ่นขนาดยักษ์กลางน้ำ ตามหน้าหนังสือหรือสื่อการท่องเที่ยวกันมาบ้าง ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องบอกได้ว่าที่นี่อยู่ในญี่ปุ่นชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ นั้นทำให้ผมสงสัยว่าสถานที่นี้อยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นกันแน่? และเป็นสถานที่ที่ผมต้องลิสต์ไว้ ต้องไปให้ได้สักครั้ง …
หลังจากการศึกษาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง พบว่า สถานที่แห่งนี้อยู่บนเกาะมิยาจิม่า (Miyajima) หรือเกาะศาลเจ้าในภาษาญี่ปุ่น นอกเหนือจากเสาโทริอิยักษ์ สถานที่สำคัญอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงที่นี่คือ ศาลเจ้าอิตสุคุชิมะ หรือศาลเจ้าลอยน้ำ (Itsukushima Shrine)
การเดินทาง
หากเดินทางจากตัวเมืองฮิโรชิม่า นั่งรถไฟ JR Sanyo Line จากสถานี Hiroshima มาลงที่ สถานี Miyajimaguchi ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที จากนั้นเดินไปขึ้นเรือเฟอร์รี่เพื่อไปเกาะมิยาจิม่า (ใครมี JR Pass เอามาเบ่งได้ครับ) ไม่ถึง 10 นาที เรือก็จอดเทียบท่า จากท่าเรือ เราก็เดินเลียบเกาะมาตามทางจนสุดจะถึงทางตัน บังคับให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าซอยแรก จะเข้าสู่ถนนช็อปปิ้ง Omotesando จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นร้านขายของ ร้านอาหาร ร้านขนมหลายร้านตลอดสองข้างทาง พอสิ้นสุดโซนร้านค้า เดินมาอีกหน่อย จะเห็นเสาโทริอิสีแดงกลางน้ำ ศาลเจ้ากลางน้ำจะอยู่ทางซ้ายครับ (ตามแผนที่)
เวลาเปิดปิด
06:30 – 18:00 (เวลาปิดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล)
ค่าเข้าชม
200 เยน (ถ้าเข้า Treasure Hall ด้วย ราคา 300 เยน)
สถานี Miyajimaguchi
จากสถานีเดินตรงมาเรื่อยๆ เราต้องเดินลอดอุโมงค์ใต้ดินมาขึ้นอีกฝั่งของถนน ก็จะเห็นท่าเรือเฟอร์รี่อยู่ข้างหน้า
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เดินไปขึ้นเรือได้เลย เพราะเรามี JR Pass อยู่
เรือ(ใหญ่)ได้ออกจากฝั่งแล้วว หากใครที่มาแล้วไม่เห็นเรือก็ไม่ต้องเสียใจครับ เพราะเรือที่นี่วิ่งข้ามฟากตลอด รอบถี่มากๆ
เรือข้ามฟากลำใหญ่ยักษ์ คนส่วนมากมักนั่งด้านในไม่ค่อยออกไปข้างนอกกัน เพราะลมแรงสวดๆ ถ้าใครรักอากาศหนาวๆ + ชอบถ่ายรูปแนะนำให้ยืนตรงท้ายเรือหรือชั้นบน รับรองต้องชอบบ
ระหว่างล่องเรือข้ามฟาก ขาไปเรือจะกินเวลามากกว่าขากลับเล็กน้อย เพราะเรือจะวนบริเวณอ่าวเข้าใกล้เสาโทริอิพอให้ถ่ายรูปได้ ส่วนขากลับจะมุ่งหน้าไปยังท่าเรือเลย สำหรับตากล้อง ใครมีเลนส์เทเล เลนส์ซูม งัดขึ้นมาได้เลยครับ ถึงเวลาของท่านแล้ว รับประกันว่าได้รูปสวยๆกลับไปแน่นอน 🙂
เรือจอดเทียบท่า
แผนที่และป้ายบอกทางบนเกาะมิยาจิม่า
ขณะที่เดินเลียบมาตามทาง เราก็ได้สะดุดตากับ สิ่งมีชีวิตสี่ขา หน้ามน ขนสีน้ำตาล… เจ้ากวาง นั่นเอง ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวกันอย่างหนาแน่นและเป็นมิตร กวางเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับเกาะมิยาจิมะมาอย่างยาวนาน ด้วยความที่ถูกปล่อยให้หากินตามอิสระและไม่ได้ถูกจำกัดบริเวณ คนบนเกาะเลยต้องติดป้ายประกาศให้กวางเป็นสัตว์อนุรักษ์ โดยขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวว่า อย่าสัมผัสและป้อนอาหารให้พวกมัน ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กวางที่นี่เลยค่อนข้างเชื่อง รักสงบ เป็นมิตรกับผู้คน ไม่ตะกุยหาอาหาร (แต่ถ้าถือของกินอยู่ มันจะเดินมาใกล้ๆ) ส่วนตัวผมหลงรักกวางที่นี่มากและไม่ว่าใครก็ตามก็คงคิดแบบเดียวกัน ความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องกวาง ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเกาะแห่งนี้เลยก็ว่าได้
กวางที่นี่นิสัยดีมากๆ ผิดกับที่วัดโทไดจิในเมืองนาราอย่างลิบลับ 555
แวะผ่านร้านขายขนมปังไส้หอยนางรม เลยจัดซะหน่อย ราคา 320 เยน (ลืมบอกไปครับว่าที่บริเวณนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หอยนางรมที่มีชื่อเสียงมากของญี่ปุ่น ฉะนั้นมาถึงที่นี่ ต้องอย่าลืมมาลิ้มลองเมนูหอยนางรม โดยเฉพาะหอยนางรมย่างอันลือชื่อ)
ระหว่างทางเจอน้องหมานั่งบนรถเข็น น่าฮักขนาด ^^
เข้าสู่ถนนช้อปปิ้ง Omotesando ระหว่างทางมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม เยอะแยะเต็มไปหมด
ได้เวลามื้อเที่ยง เราไปทานที่ร้าน Kaki-ya ร้านหอยนางรมเจ้าดังของเกาะ รีวิวในโพสต์นี้ครับ >> http://www.thetouristdiary.com/asia/japan/kaki-ya
ตรงข้ามร้าน Kaki-ya เห็นร้านขายซาลาเปาญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Steamed Bun) มีหลายไส้ เราสั่งไส้ปลาไหลมาทานร้อนๆ รสชาติโออยู่ครับ ที่หยุดแวะร้านนี้เพราะดันไปเห็นหน้าโมริ โคโกโร่ จากการ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เป็นพรีเซนเตอร์ด้วย เนื่องจากร้านนี้ปรากฎฉากนึงในเรื่อง (ถ้าไม่มีโคนันมาเอี่ยวอาจเดินผ่านไปเลย หุหุ)
เจอน้องหมาตัวเดิม เจ้าของก็นะ เอาของกินมาล่อ ไม่เห็นใจกันมั่งเลย (หมาคงคิด)
นิยามความรักของกวางคู่นี้ : รักคือการเสียสละ…หลังให้นอน 😀
ไม่ทันไรก็เปิดวาร์ปมาถึงเสาโทริอิหรือซุ้มประตูขนาดยักษ์ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่ากลางน้ำ ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกาะมิยาจิม่าและของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จุดเด่นของเสาโทริอิที่นี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ น้ำขึ้น-น้ำลง ตลอดทั้งวัน จะว่าไปไม่ว่าจะน้ำขึ้นหรือน้ำลงก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไปครับ เวลาน้ำขึ้นมากๆ ที่นี่จะมีบริการทัวร์ล่องเรือ ประมาณ 30 นาที โดยเรือจะแล่นลอดใต้ซุ้มประตูแล้ววนรอบอ่าว ส่วนเวลาน้ำลง ก็เป็นช่วงเวลาที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าเข้าไปถ่ายรูปกับเสาได้ใกล้ๆ
สามารถเช็คพยากรณ์น้ำขึ้นน้ำลงได้ที่เว็บนี้ครับ >> http://tbone.biol.sc.edu/tide/tideshow.cgi?site=Itukusima%2C+Hirosima%2C+Japan
สิ่งหนึ่งที่ถือว่าโชคดี และทำให้เราฟินสุดๆสำหรับการไปเยือนเกาะมิยาจิมะครั้งนี้ คือการได้เห็นคู่แต่งงานชาวญี่ปุ่นนั่งรถลาก เดินทางมาถ่ายรูปแต่งงานที่เสาโทริอิและศาลเจ้าลอยน้ำ คนลากรถค่อยๆผ่อนความเร็วและหยุด พร้อมกับคู่บ่าวสาวที่นั่งอย่างสง่างามด้านหลังรถ เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก (ฉากหน้าก็สวย ฉากหลังก็ได้) ณ วินาทีนั้น นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เดินเข้ามาชมเป็นสักขีพยาน พร้อมเก็บภาพอันสวยงามนี้ เรียกได้ว่าเป็นช็อตแห่งความประทับใจของทริปนี้ไปเลย… Perfect Moment
ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ ก็เดินมาที่ศาลเจ้าลอยน้ำ (Itsukushima Shrine)
อาคารไม้สีแดงหลังใหญ่ ศูนย์รวมทางศาสนาของคนบนเกาะ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องสร้างศาลเจ้าล้ำลงไปในน้ำ ทำไมไม่สร้างบนบกล่ะ? ขอเกริ่นประวัติความเป็นมาคร่าวๆของเกาะนี้สักนิด แต่เดิมเกาะมิยาจิมะเปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้นับถือนิกายชินโต ตามความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ค่อนข้างเคร่งในเรื่องความบริสุทธิ์ ห้ามไม่ให้มีการเกิดการตายบนเกาะ (เวลามีเด็กใกล้คลอด และคนใกล้ตาย ก็ต้องส่งไปบนฝั่ง) รวมถึงห้ามมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆบนผืนแผ่นดินของเกาะด้วยเช่นกัน ต่อมาจนกระทั่งมีแผนการก่อสร้างศาลเจ้า ตัวอาคารจึงถูกสร้างล้ำลงมาในทะเล เช่นเดียวกับเสาโทริอิ
ปัจจุบัน ศาลเจ้าลอยน้ำได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1996
พอซื้อตั๋วเสร็จก็ได้เวลาเดินสำรวจ ถึงตรงนี้ขอพาไปชมบรรยากาศสวยๆของศาลเจ้ากันนะครับ
ขณะที่เดินเที่ยวอยู่พร้อมเก็บภาพไปพลางๆ เราได้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ศาลเจ้า บอกว่า “ลองขึ้นไปชมสวนเมเปิ้ลดูสิ อยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นไปหน่อยนะ” ตามโปรแกรมเราตั้งใจไปเที่ยวสวนแห่งนี้อยู่เป็นทุนเดิม บอกเลยว่า “ไม่พลาดอยู่แล้ว!”
ด้วยความที่สร้างอยู่กลางน้ำ ศาลเจ้าแห่งนี้จึงต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรงเพื่อรองรับแรงน้ำขึ้นน้ำลงของทะเล และต้องมีการบูรณะซ่อมแซม ตรวจสอบสภาพอยู่เป็นระยะ
ระหว่างทางเหลือบไปเห็นการซ่อมเสาค้ำยันศาลเจ้า ดูน่าสนใจมาก อยากรู้ว่าเค้าทำกันยังไง แต่เสียดายที่ช่างไม่อยู่เลยไม่ได้เห็น
เดินทะลุออกมาทางด้านหลัง เจอพี่โชเฟอร์กำลังรอนักท่องเที่ยวอยู่
จุดหมายต่อไปของที่นี่คือ สวนสาธารณะโมมิจิดานิ (Momijidani Park) หรือสวนเมเปิ้ลแดง ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสถานที่ชมใบไม้แดงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ประหนึ่งมีสีส้มแดงมาฉาบบนใบไม้ทั่วทั้งสวน
มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยเอโดะ มีการปลูกต้นเมเปิ้ลกว่า 200 ต้นในบริเวณนี้ ทำให้สวนโมมิจิดานิเป็นสถานที่ที่มีต้นเมเปิ้ลแดงมากที่สุด (เป็นที่มาของชื่อสวนนั่นเอง – Momiji แปลว่า เมเปิ้ล)
เส้นทางเดิน เริ่มต้นจากศาลเจ้าลอยน้ำ เดินขึ้นเขาผ่านสวน Momijidani แล้ววนกลับมาที่เดิมโดยแวะศาลเจ้า Hokoku ก่อนกลับ
ทางขึ้นไป Momojidani Park นั้นค่อนข้างไกล และชันกว่าที่คิดไว้เยอะครับ พอพ้นโซนที่อยู่อาศัยก็จะเข้าโซนสีเขียวกันแล้ว
สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนบนหุบเขาเล็กๆทางขึ้นเขามิเซน (Mount Misen) ซึ่งเป็นจุดชมวิวสูงสุดของเกาะ สามารถมองเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันได้ (มองดูนาฬิกา คำนวณแล้วถ้าขึ้นเขาคงกลับลงมาไม่ทันแน่ๆ เลยแวะเที่ยวแค่สวนอย่างเดียวพอ) ภายในสวน นอกจากจะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลรวมถึงพันธุ์ไม้ต่างๆแล้ว เรายังสามารถพบเห็นเหล่าฝูงกวางออกมาเดินหาอาหาร แม้ว่าช่วงที่เราไป ใบไม้ร่วงโรยไปมาก แต่ก็ยังพอเห็นอยู่บ้างบางต้น (เป็นไปได้ว่าเราอาจจะมาช้าไป เลยช่วงพีคของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีไปแล้ว) แต่โดยรวมถือว่าบรรยากาศเงียบสงบดีนะครับ เหมาะกับการมานั่งพักผ่อนชิลๆเป็นที่สุด
เราสามารถพบเห็นกวางได้ทั่วไปในบริเวณนี้
ดูเหมือนว่าช่วงต้นเดือนธ.ค.จะสายเกินไปสำหรับใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่ พอไปถึงใบไม้ร่วงก็เกือบหมดแล้ว แต่ยังพอเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
สำหรับปี 2014 ใบไม้เปลี่ยนสีช่วงพีคสุดของเกาะมิยาจิม่านั้นคือช่วงประมาณสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน >> รีวิวจาก Japan Guide http://www.japan-guide.com/blog/koyo14/141118_miyajima.html ส่วนปีนี้คงต้องติดตามกันอีกที
สมัยเอโดะ มีการปลูกต้นเมเปิ้ลกว่า 200 ต้นในบริเวณนี้ ทำให้สวน Momijidani เป็นสถานที่ที่มีต้นเมเปิ้ลแดงมากที่สุด
หากใครที่กำลังมองหาที่พักบนเกาะมิยาจิม่า บริเวณใกล้กับศาลเจ้าลอยน้ำและสวน Momijidani มีอยู่หลายเจ้าให้เลือกครับ
แวะชิมมันเผาจากร้านข้างทาง มีข้อสังเกตว่าคนญี่ปุ่นมักทานมันเผาในฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากในสมัยก่อน เวลาเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ได้เกิดใบไม้จำนวนมหาศาล คนสมัยโบราณจึงคิดหาวิธีกำจัด และพบว่าการนำมากองสุมรวมกันแล้วเผาเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ขณะทำการเผา ระหว่างรอ สามารถเอาหัวมันใส่เข้าไปในกองไฟ รอให้สุกได้ที่ก็ทานได้
อย่างไรก็ตาม ในยุคหลังๆ การเผาสิ่งของต่างๆที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย วิธีการทำมันเผาจึงเปลี่ยนไปใช้เตาอบแทน นอกจากนี้ในฤดูหนาวการถือมันเผาร้อนๆไว้ที่มือยังช่วยคลายความหนาวให้กับมือได้ด้วย
นอกเหนือจากมันเผา ร้านนี้ยังขายเกาลัด คนขายสาธิตวิธีการคั่วให้ดู เลยอุดหนุนเค้าไปถุงสองถุง
จากย่านร้านค้า เดินมาอีกนิดก็ถึงด้านหลังของศาลเจ้าลอยน้ำ เราเดินเลียบศาลเจ้ามา เห็นอาคารไม้ขนาดใหญ่กับเจดีย์บนเนินเขาด้านขวา เลยตัดสินใจแวะขึ้นไปชมซะหน่อย
ศาลเจ้า Hokoku หรือ Senjokaku Hall
ศาลเจ้าโฮโกกุ หรืออีกชื่อนึงคือ เซนโจกากุ ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “Pavilion of 1000 Mats หรือ พลับพลาแห่งเสื่อพันผืน” โดยความกว้างของอาคารเทียบเท่ากับเสื่อทาทามิ 1,000 ผืนวางต่อกัน สะท้อนถึงความใหญ่โตของอาคารหลังนี้ได้เป็นอย่างดี
เครดิต : ภาพจาก Japan Guide
ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของที่นี่ เริ่มก่อสร้างขึ้นประมาณปีค.ศ.1587 ในยุคสมัยของ โทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) หนึ่งในสามผู้รวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน (อีกสองท่านคือ โอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) และ โทกุกาว่า อิเอยะสุ (Tokugawa Ieyasu)) ได้สร้างศาลเจ้าโฮโกกุขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ อีกทั้งเป็นอาคารสำหรับปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ อย่างไรก็ตามในปีค.ศ. 1598 ฮิเดะโยชิได้เสียชีวิตลง การก่อสร้างอาคารหลังนี้ก็หยุดชะงักตั้งแต่นั้น แม้กระนั้นในยุคของ โทกุกาว่า อิเอยะสุ ที่ขึ้นมามีอำนาจ อาคารหลังนี้ก็ไม่เคยก่อสร้างให้แล้วเสร็จอีกเลย ในปัจจุบันจะเห็นว่าไม่มีผนังหรือประตูใดๆ เป็นอาคารเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน ขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ 5 ชั้น ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบจีนและญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน ตั้งอยู่ข้างๆ
เวลาเปิดปิด
08:30 – 16:30
ค่าเข้าชม
100 เยน
ก่อนเข้า ต้องถอดรองเท้าออกก่อน(นะแจ๊ะ)
ขากลับเดินผ่านเสาโทริอิกลางน้ำ เห็นเด็กวัยรุ่นม.ปลาย ญี่ปุ่น ถ่ายรูปรวมรุ่นกัน ดูจริงจังมาก เรื่องที่ทำให้อมยิ้มคือมีกวางตัวนึงพยายามแทรกตัวเข้ามีส่วนร่วมในรูป น้องๆก็เรียกมันให้มาเข้ากล้องด้วย สุดท้ายไม่รู้ในรูปมีมันอยู่ด้วยหรือเปล่า 555
สามารถบอกได้เต็มปากว่าน้องกวางคือสิ่งที่ช่วยเติมเต็มให้เกาะมิยาจิม่ามีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
หลับตาพริ้มเชียว สงสัยได้เวลานอน ZzZ
หลังจากชื่นชมธรรมชาติซะเพลินจนลืมดูเวลา ดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า แสงแดดเริ่มอ่อนล้า ก็ถึงคราวต้องบอกลาเกาะสวรรค์แห่งนี้ซะแล้ว น่าเสียดายที่เรามีเวลาน้อยไปหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม ภาพอันสวยงาม ประสบการณ์ดีๆ และความทรงจำที่ตราตรึงในใจเราจากการเดินทางครั้งนี้กลับมีมากมายเหลือเกิน มากเสียจนไม่สามารถบรรยายได้หมด
หวังว่าเราคงได้มีโอกาสกลับมาเยือนสถานที่ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งนี้อีกครั้ง… ไว้พบกันใหม่นะ เกาะมิยาจิมะ
ได้เวลาอันสมควร โดยสารเรือเฟอร์รี่กลับไปยังเมืองฮิโรชิม่า … Passengers on board !!!