Dazaifu | วันฝนพรำในดาไซฟุ
วันนี้เราใช้เวลาครึ่งวันเช้าไปเที่ยวเมือง Dazaifu กันครับ ไฮไลท์หลักของเมืองอยู่ที่ ศาลเจ้าดาไซฟุ ศาลเจ้าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรให้ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา เราจะเห็นเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่่งนี้ไม่ขาดสายตลอดทั้งปี
การเดินทาง
จากทางออกสถานี Dazaifu เดินตรงไปที่ลานตรงสี่แยก เลี้ยวขวาไปจะเห็นร้านขายของตลอดแนวสองข้างทาง เดินไปจนสุด จะเห็นเสาโทริอิต้นใหญ่ติดกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินไปอีกประมาณ 100-200 เมตรก็ถึงศาลเจ้า
ค่าเข้าชม
ฟรี
เวลาเปิดปิด
06:30 – 19:30, Dazaifu Tenmangu Museum 09:00 – 16:30 (ปิดวันจันทร์), Kanko Historical Museum 09:00 – 16:30 (ปิดวันอังคาร)
ตั้งต้นที่สถานี Hakata ก็ตรงดิ่งไปที่ Tourist Information Center เพื่อซื้อตั๋ว Fukuoka Tourist City Pass ซึ่งเป็นตั๋ว 1 วันสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถใช้เดินทางได้ทั่วเมืองฟุกุโอกะ โดยสามารถใช้เดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนได้ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ รถบัส Nishitetsu, รถบัส Showa, รถไฟ JR Kyushu, รถไฟ Nishitetsu และรถใต้ดิน โดยเจ้าตั๋วนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. Fukuoka City (เฉพาะในตัวเมือง ไม่รวมรถไฟสาย Nishitetsu) ผู้ใหญ่ 820 เยน, เด็ก 410 เยน *ไม่ครอบคลุมรถไฟไป-กลับดาไซฟุ
2. Fukuoka City and Dazaifu (ขึ้นรถไฟและรถบัสได้ทุกชนิด) ผู้ใหญ่ 1,340 เยน, เด็ก 670 เยน
ตั๋วทั้งสองแบบยังเป็นส่วนลดค่าเข้าสถานที่ต่างๆได้อีกด้วย >> Special Offers for FUKUOKA TOURIST CITY PASS Holders
แผนที่ท่องเที่ยวฟุกุโอกะ (PDF) >> Fukuoka Tourist City Map
อย่างไรก็ตาม มีตั๋วอีกแบบที่ไป Dazaifu ได้เหมือนกันคือ Dazaifu Stroll Ticket Pack ซึ่งเป็นตั๋วที่ใช้เดินทางไปกลับ Dazaifu แถมคูปองชิม Umegaemochi (Rice cake) ได้อีกด้วย โดยตั๋วมีอายุ 2 วัน (ผู้ใหญ่ 1,000 เยน, เด็ก 680 เยน) รายละเอียดตั๋ว
อย่างไรก็ตาม ตั๋วนี้ ไม่สามารถเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนอื่นๆในเมืองฟุกุโอกะได้ ขากลับจากดาไซฟุ เราไม่สามารถใช้ตั๋วนี้เดินทางโดยรถไฟใต้ดินหรือรถบัส นั่นทำให้เราเลือกซื้อ Fukuoka Tourist City Pass แบบที่ 2 (ราคา 1,340 เยน) แทน เพราะครอบคลุมการเดินทางได้ทั้งวันครับ
หน้าตาของ Fukuoka Tourist City Pass (ซ้าย) และคู่มือ (ขวา) เวลาจะใช้ ให้ขูดวัน+เดือนที่ต้องการเริ่มใช้ (จากในรูป เริ่มใช้ตั๋ววันที่ 30 เดือน 11)
หากจะขึ้นรถไฟไปดาไซฟุ เราต้องไปขึ้นที่สถานี Nishitetsu Fukuoka Station ครับซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin นั่งรถไฟไปเปลี่ยนที่สถานี Nishitetsu Futsukaichi เปลี่ยนเป็นสาย Dazaifu Line เพื่อไปลงที่สถานี Dazaifu (ลองคำนวณดูแล้ว เส้นทางนี้เดินทางใช้เวลาน้อยที่สุดครับ)
จากในแผนที่ เริ่มต้นที่สถานี Hakata นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Tenjin แล้วเดินไปทางห้าง Parco ตามป้ายที่เขียนว่า Nishitesu ขึ้นไป จะเจออีกทางเข้าของสถานี Nishitetsu Fukuoka Station (เดินค่อนข้างไกลนิดนึงเพราะตัวสถานีรถไฟไม่ติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin ต้องใช้เวลาเดินสักพัก)
ถึงที่หมาย รีบเช็คเวลารถไฟบนจอมอนิเตอร์ พบว่าสามารถไป Dazaifu ได้หลายขบวน ด้วยความที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออกเลยครัช เลยต้องใช้บริการเว็บ Hyperdia ช่วยดูเส้นทางอีกที
รถไฟที่ชานชาลาจอดเทียบท่า มวลมหาประชาชนชาวญี่ปุ่นเดินกันขวักไขว่
รถไฟของเรามาแล้ววว
นั่งไปลงที่สถานี Nishitestsu Fukakaichi Station เพื่อเปลี่ยนขบวนขึ้น Dazaifu Line ต่ออีกประมาณ 5 นาที
ด้านหน้าสถานี Dazaifu
ร้านช้อป Hello Kitty สไตล์ญี่ปุ่น สาวๆน่าจะชอบ
ระหว่างทางไปศาลเจ้า Dazaifu สองข้างทางมีร้านค้า ร้านขนม ร้านขายของที่ระลึกตลอดแนว
ไฮไลท์สำคัญที่ไม่อยากให้พลาดเวลามาถึงที่นี่ อยู่ที่ร้าน Starbucks ของเมืองครับ ดีไซน์ได้ล้ำมาก ติดอันดับ 1 ใน 10 Starbucks ของโลกที่ต้องมาเยือนเลยทีเดียว
แผนที่บริเวณศาลเจ้า นอกเหนือจากศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu แล้วบริเวณใกล้เคียงยังมี Kyushu National Museum กับวัด Komyozenji สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้
ด้านหน้าทางเข้าจะเห็นสระ Taijiike
สะพานสีแดงนี้มีชื่อเรียกว่า Taikobashi โดยเราต้องข้ามสะพานนี้ไปยังศาลเจ้า สะพานแห่งนี้มีที่มา คือ ถูกสร้างขึ้นประกอบด้วย 3 ส่วน เค้าว่ากันว่าเป็นตัวแทนของ อดีต, ปัจจุบัน และ อนาคต สอดคล้องกับหลักของพระพุทธศาสนาที่ว่าหนึ่งความคิดควรเก็บไว้ในช่วงเวลานั้น คือ ให้ปล่อยวาง นั่นเอง
ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu แห่งนี้มีชื่อเสียงมากๆ โดยเฉพาะในหมู่เด็กนักเรียน ที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศาลเจ้า Tenmangu นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติสำหรับท่าน Sugawara Michizane ผู้ที่มีอัจฉริยภาพทางการเรียนรู้และมีความสามารถต่างๆมากมายตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นที่เลืองลือโด่งดังมาก ท่านมิชิซะเนะเกิดที่กรุงเกียวโตเป็นนักวิชาการและนักการเมืองในยุคเฮอัน หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตลง ชาวบ้านก็ยกย่องท่านในฐานะเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้หรือ Tenjin นั่นเอง
แต่ชีวิตของท่านมิชิซะเนะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด อัจฉริยภาพของท่านฉายแววมาตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี ท่านสามารถแต่งกลอนได้เอง และความสามารถอันโดดเด่นของท่านเริ่มแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง เมื่อท่านโตเป็นหนุ่มยังแสดงความสามารถในการยิงธนูอีกด้วย ท่านได้เป็นคนโปรดของจักรพรรดิ และได้รับมอบตำแหน่งสำคัญๆมากมาย ทั้งทางการทูตกับจีนและยังเป็นผู้ปกครองเมืองซะนุกิ เหล่าขุนนางในสมัยก่อนจึงพาลกันอิจฉาไม่ชอบหน้าเลยได้ให้ร้ายท่าน สมคบคิดกับตระกุลฟูจิวะระ ที่กุมอำนาจอยู่ในยุคนั้น และขับไล่ให้ออกจากกรุงเกียวโตไปยังดินแดนไกลโพ้นซึ่งก็คือที่ดาไซฟุแห่งนี้ การเดินทางระหว่างจาก เกียวโต มายัง ดาไซฟุ นั้นไกลแสนไกลหลังจากท่านเดินทางมาถึงด้วยความยากลำบาก ท่านต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอันโดดเดี่ยวที่ๆแห่งนี้และสิ้นลงด้วยวัยเพียง 59 ปี เมื่อปี 903
เหล่าชาวบ้านที่รักใคร่เเละเคารพท่านต่างก็เสียใจและหลังจากที่ท่านสิ้นก็เกิดภัยพิบัติต่างๆมากมายที่กรุงเกียวโตตระกูลฟุจิวะระที่คิดร้ายต่อท่าน ก็เริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน เหล่าขุนนางในวังต่างกลัวเกรงและคิดว่านี่เป็นความอาฆาตแค้นของดวงวิญญาณท่านมิชิซะเนะจึงได้ทำการสร้างศาลเจ้า เพื่อเป็นการไถ่โทษและยกย่องท่านมิชิซะเนะในฐานะ Tenjin ขึ้นที่กรุงเกียวโตและ เมืองดาไซฟุ แห่งนี้ ดังนั้นที่เกียวโตจึงมีศาลเจ้าอีกแห่งที่อุทิศให้ท่านมิชิซะเนะชื่อว่าศาลเจ้า Kitano Tenmangu ตัวอาคารหลักของศาลเจ้าที่เห็นนั้นเป็นงานที่สร้างขึ้นเมื่อปี1591 ส่วนของดั้งเดิมที่สร้างขึ้นเมื่อปี 919 ได้ถูกเผาทำลายไปในช่วงสงคราม
*ขอบคุณเรื่องราวความเป็นมาของศาลเจ้าดาไซฟุจากเว็บ tiewyeepoon.com ครับ
วิธีการสักการะของศาลเจ้าดาไซฟุ คือให้โยนเหรียญ 5 เยน (ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่าโชคดี) แล้วตบมือ 2 ครั้ง ก่อนอธิษฐานขอพร ที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะเห็นหนุ่มสาวญี่ปุ่นรวมถึงเด็กใส่ชุดกิโมโนเข้าสักการะที่ด้านในเยอะทีเดียว
ต่อจากนี้จะขอพาไปชมมุมสวยๆของศาลเจ้ากันครับ
ก่อนออกจากศาลเจ้า เลี้ยวซ้ายตรง Tourist Information แวะไปเที่ยววัด Komyozenji ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ที่เขาว่ากันว่าเป็นที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามอีกแห่งนึง ด้วยความหวังที่ว่าจะยังเห็นใบไม้เปลี่ยนสีบ้าง แต่พอไปถึงใบไม้ร่วงเกือบหมดต้นแล้วครับ น่าเสียดายมาก (แสดงว่าเรามาช้าไป) อยู่ตรงนั้นไม่นาน เลยตัดสินใจเดินกลับออกมาทางเดิม
อย่างไรก็ตาม โชคชะตายังเข้าข้างเรา ระหว่างทางขากลับจากวัด เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ติดกับอาคารไม้หลังเก่า สีใบไม้ยังส้มอยู่ทั้งต้นอยู่ แม้จะมีแค่ต้นเดียวให้เห็น แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะได้ภาพสวยๆกลับไป 🙂
หลังจากฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้า ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมา (หาที่หลบฝนแทบไม่ทัน)
เที่ยงแล้ว ได้เวลาหาอะไรลงท้อง เสิชแผนที่เห็นร้านราเมนข้อสอบ (Ichiran Ramen) อยู่ใกล้ๆกับสถานี เดินไปถึง เห็นป้ายร้านอยู่แต่ไม่ใช่ร้านนั่งกิน คนที่นั่นบอกว่า อันนั้นเป็นร้านขายของที่ระลึกไม่ใช่ร้านอาหาร เดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่สถานี เขาบอกว่าร้านอยู่ไกลออกไปหน่อย เราเลยถามว่าแถวนี้มีร้านอร่อยๆแนะนำไหม เขาก็ชี้ๆในแผนที่ แนะนำร้านอุด้งมาร้านนึง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนหลัก (จำชื่อร้านไม่ได้ -_-” ให้ตำแหน่งร้านไปเลยละกันครับ)
เข้าไปถึงร้านค่อนข้างแคบทีเดียว เป็นเคาน์เตอร์รอบๆ นั่งได้ 8-10 คน เจ้าของร้านบริการดีมากๆ ที่ประทับใจคือเขาพูดอังกฤษได้ ช่วงที่รออาหารก็ได้โอกาส ชวนเขาคุยไปเรื่อย 😀
เมนู มีอุด้งให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบชุดและอุด้งเปล่าๆ เราเลือกชุดเทมปุระ ราคาประมาณ 800 เยน
สั่งข้าวปั้นญี่ปุ่นมาทานเล่น
อุด้งชามใหญ่บิ๊กเบิ้มมาก
กินอิ่มแล้ว + ฝนหยุดตกพอดี ได้เวลาเดินทางกลับฟุกุโอกะ
ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที ก็ถึงสถานี Nishitetsu Fukuoka มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเดินสำรวจสถานี
ร้านขนม ร้ายของกิน เพียบ
เดินเลยมาหน่อยก็จะถึงแหล่งชอปปิ้ง Shintencho ซึ่งอยู่ในย่าน Tenjin
ระหว่างทางเจอร้านเครป ดูน่าทาน เลยแวะเข้าไปชิมซะหน่อย
ร้านนี้ชื่อ Crepe Restaurant Gelato Pique Cafe คาเฟ่ นั่งชิลสำหรับวัยรุ่น แน่นอนว่าเมนูหลักของร้านคือเครป นอกจากเครปแล้ว ร้านยังขายของหวาน ของคาว เช่น แพนเค้ก สลัด ซุป ครัวซองต์ เครื่องดื่ม กาแฟ ฯลฯ อีกด้วย เว็บไซต์ >> http://pique-cafe.com/eng/index.html
ก่อนเดินทางกลับไปเก็บของที่ที่พัก แวะผ่าน Tenjin Underground Shopping Arcade แหล่งชอปปิ้งยอดฮิตอีกแห่งของเมือง อยู่ชั้นใต้ดินติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin ร้านตั้งอยู่สองข้างทาง เดินกันไม่หวั่นไม่ไหว ใครที่เป็นขาช็อปปิ้ง ต้องหาโอกาสแวะมาเยือนฟุกุโอกะสักครั้งครับ