China

รีวิวจัดเต็ม คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า : [Part 2.1 – ลี่เจียง เมืองมรดกโลก]

รีวิวจัดเต็ม คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า : [Part 2.1 – ลี่เจียง เมืองมรดกโลก]

จากคุนหมิงนั่งเครื่องปร๊าดเดียวก็ถึง ลี่เจียง ตามโปรแกรมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่บินจริง แค่ 45 นาทีเท่านั้นเอง

ตอนที่แล้ว Part 1.2 – พิชิตเขาซีซาน ลอดประตูมังกร

จริงๆแล้วการเดินทางจากคุนหมิงไป ลี่เจียง ไปได้หลายแบบทั้ง รถบัส รถไฟ หรือ เครื่องบิน
ถ้าให่เปรียบเทียบ รถบัส vs รถไฟ  แนะนำรถไฟ เพราะสบายกว่า / ควันบุหรี่น้อยกว่า แต่มีข้อจำกัดคือค่อนข้างเต็มเร็ว ต้องจองล่วงหน้า ส่วน รถไฟ vs เครื่องบิน นั้นมีหลายปัจจัยให้คำนึง

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะถามว่า “ทำไมถึงเลือกเครื่องบินล่ะ?”

ตอบคือเรื่อง “เวลา และ ความสะดวกสบาย” 2 ปัจจัยหลักที่เราคำนึงถึง

คืองี้ครับ รถบัสและรถไฟ ใช้เวลาเดินทางนานมากกก ก.ไก่ล้านตัว (รถไฟกินเวลา 8-10 ชั่วโมง ส่วนรถบัสก็ไม่ต่างกันเท่าไร)

อย่างไรก็ตาม การเดินทางโดยเครื่องบิน แม้ว่าจะสะดวกสบาย ประหยัดเวลาตรงนี้ไปได้ แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงกว่าเยอะ แถมต้องจองห้องพักเพิ่มอีกคืนด้วย – แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็เลือกเครื่องบิน เพราะ…

ลองไปเช็คราคาตั๋วเครื่องบินจากเว็บ Elong.net / Skyscanner ช่วงก่อนเดินทางดูครับ จะเจอตั๋วลดราคาถูกจนน่าตกใจ (ส่วนมากลดถึง 70-80%) อย่างผมที่ไปได้ตั๋วลดราคามาเหลือ แค่ 440 หยวน (ถ้าตีเป็นเงินไทย ประมาณ 2000 กว่าบาท แพงกว่ารถไฟเท่าตัว แต่ประหยัดไปได้เป็น 10 ชั่วโมง มองแล้วคุ้มค่ากว่า) จำได้ครั้งแรกที่ เห็นตั๋วเครื่องบินลดราคาแล้วแบบใจเต้นรัวๆ บัตรเครดิตในมือมันสั่นไปหมด (เว่อร์ปายย) จัดสิครับ รออะไร

Note: ก่อนขึ้นเครื่องบินไปลี่เจียง แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆครับ (ให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น) เพราะลี่เจียงอยู่สูงกว่าคุนหมิงมาก อากาศเบาบางกว่า

พอลงจากเครื่อง เท่านั้นแหละครับ ลมหนาวตีเข้าหน้าทันที ที่ลี่เจียงอากาศคนละเรื่องกับที่คุนหมิงเลย เพราะที่นี่ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร ประมาณบนดอยอินทนนท์

สนามบินลี่เจียง ถ้าให้เทียบก็คงคล้ายๆกับสนามบินต่างจังหวัดบ้านเรา ขนาดไม่ใหญ่มาก จากเกทขึ้นเครื่อง สายพันรับกระเป๋ากับทางออกห่างกันนิดเดียว

เวลาตอนนั้น 4 ทุ่มกว่า ดึกแล้ว เรียก Taxi เข้าเมืองดีกว่า

เดินมาถึงที่จอด Taxi มีการต่อรองเกิดขึ้น Taxi เรียกไป 100 หยวน ส่วนตัวคิดว่าแพงอยู่ พอหักคอขอ 80 หยวน ได้มั้ย หนุ่มคนนี้ เดินหนีเลย 555 ตอนนั้นอึ้งเล็กน้อย เพราะไม่รู้ราคากลางว่าเขาคิดราคากันเท่าไร สุดท้ายก็ไปกับพี่คนขับที่ยืนทางซ้าย ออดอ้อนว่า 100 หยวน (500 บาท) นี่ราคาปกติแล้วนะ เราก็ยอม เพราะดึกแล้ว ไม่รู้ว่าแพงไปไหม แต่ถ้าแพงไปก็คงแพงไปไม่มาก เพราะระยะทางที่เช็คไว้ก็ไกลพอสมควรจากในเมือง

ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ก็เข้าสู่เมืองลี่เจียง ที่พักของเราตั้งอยู่แถวๆ Old Town Lijiang  มาถึงก็เดินต่อสักหน่อย

ลืมบอกไป ถ้าเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงกระเป๋าลากครับ เพราะบันไดเยอะ กับ พื้นที่ค่อนข้างขุรขระเลย คนที่นี่เป็นกันเองมากกว่า คุนหมิงอีก จะถามทางสามารถถามได้เลยครับ

ในที่สุดก็ถึงแล้ว 7DaysInn ที่พักของเราอีก 3 คืน

Lobby ที่นี่ชิวมาก มีชาจีนให้ดื่มฟรี เราสามารถติดต่อซื้อทัวร์จากโรงแรมได้เลย เสียอย่างเดียว พนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ (เรื่องใหญ่ซะด้วยสิ) เศร้าเบย ยังดีที่เมเนเจอร์พอพูดกล้อมแกล้มได้บ้าง

ห้องพักสะอาด นอนได้ สบายๆ  ราคาห้องคืนละประมาณ 240 หยวน ก็ 1200 บาท หารสองก็ตกเหลือคนละ 600 บาท

ปิดท้ายด้วยวิวลี่เจียงยามค่ำคืน เปิดไฟแล้วสวยมากกกก เริ่มตกหลุมรักเมืองนี้ซะแล้วสิ


Day 3: Lijiang Old Town & Black Dragon Pool
หลังจากเมื่อคืนถึงลี่เจียงดึกมาก วันนี้เลยตื่นสายหน่อย ข้อดีของการจัดโปรแกรมไปเที่ยวเองก็งี้แหละเนอะ อยากตื่นกี่โมงก็ได้  อยากไปไหนก็ไป

เรามาดูแผนที่กันดีกว่าว่า อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง จะเห็นว่าแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ

1. Lijiang Airport – สนามบินเมืองลี่เจียง อยู่ทางใต้เมืองเก่า (ที่เมื่อคืนเรานั่งรถมา)
2. Old Town Lijiang – เมืองเก่าลี่เจียง ใกล้กันมี Black Dragon Pool สระมังกรดำ เป็นจุดถ่ายรูปสวย หากมีเวลาเหลือสามารถไปเที่ยว Shuhe Ancient Town เมืองโบราณซู่เหอได้ (แต่เราไม่ได้ไป)
3. Jade Dragon Snow Mountain – ภูเขาหิมะมังกรหยก อยู่ทางเหนือ บริเวณนี้มีไฮไลท์สำคัญ 3 จุดที่ไม่ควรพลาด คือ
Snow Mountain ภูเขาหิมะ ต้องนั่งขึ้นกระเช้าขึ้นไป
Impression Lijiang การแสดงของคนพื้นเมือง บอกเล่าเรื่องราว วิถีชีวิตของคนที่นั่น *ดูแลงานสร้างโดยผู้กำกับจางอวี้โหมว
Blue Moon Valley  / Baishuihe ไปสุ่ยเหอ ธารน้ำตกหลายชั้นที่มีฉากหลังเป็นภูเขา สวยมากก

คำศัพท์
Old Town Lijiang =  Lìjiāng Gǔchéng (ลี่เจียงกู่เฉิง) 丽江古城
Jade Dragon Snow Mountain = Yùlóngxuě Shān (หยวี่หลงเสวีย ซาน) 玉龙雪山
Black Dragon Pool = Hēilóngtán (เฮยหลงถาน) 黑龙潭

[Spoil] คลิกเพื่อซ่อนข้อความ
ถ้าได้หาข้อมูลจะรู้ว่า Blue Moon Valley มี 2 ที่ !!!! คือมีทั้งที่ลี่เจียงและแชงกรีล่าครับ ตอนแรกผมก็จำสับสนเหมือนกัน ถ้าที่ลี่เจียงจะอยู่ใกล้ๆ กับ Snow Mountain ถ้าที่แชงกรีล่าจะอยู่บนเขา Shika ภูเขาคนละลูกเลย แต่เขาเรียกชื่อเดียวกัน

หลายคนที่เคยมาเที่ยวแนะนำว่า ถ้ามีเวลาที่ลี่เจียงหลายวัน อย่าเพิ่งรับขึ้นภูเขาหิมะเพราะจะเหนื่อยเกินไป ให้ร่างกายได้ปรับตัวหน่อยจะดีกว่า แต่บางคนไม่มีเวลามากก็ขึ้นเลย ไม่ว่ากัน ฉะนั้นก็แล้วแต่แผนเดินทางของแต่ละคน

วันนี้ไม่มีแพลนไปไหนเป็นพิเศษ หลักๆคือเดินเล่นในเมืองเก่าลี่เจียง เนื่องจากที่พักของเราอยู่ไม่ห่างจากจุดศูนย์กลางมากนัก

เที่ยวเมืองเก่าลี่เจียง ไม่ยากเลยครับ ใช้กังหันน้ำยักษ์ (Waterwheel) เป็นจุดนัดพบ / จุดตั้งต้นเวลาเดินเที่ยว เดินเลียบคลองในเมืองไปเรื่อยๆ หลายๆคนที่ไปเที่ยวแนะนำให้เดินตามทางน้ำไหล

*ถ้าใครอยากขึ้นไปชมวิวลี่เจียงจากมุมสูง สามารถไปได้หลายแห่ง เช่น Lion Hill Wangu Tower แต่อนิจจา เราต้องเสียตังค์ค่าขึ้น >.< ถ้าไม่อยากเสียตังค์ แนะนำให้เดินขึ้นไปที่ Wenchang Palace วิวสวยไม่แพ้กันครับ

บรรยากาศภายในบริเวณที่พัก




เริ่มต้นออกเดินทาง วันนี้อากาศเย็นสบายมากครับ น่าจะราวๆ 20 องศา ก่อนออกจากที่พักมีฝนตกลงมาเบาๆด้วย

คือระหว่างทางที่เดินไป จะเห็นร้านค้า ร้านขายของเต็มไปหมด ภายนอกเป็นอาคารเก่าๆ แต่ด้านในขอบอกว่า ตกแต่งได้เลิศสุดๆ

โซนที่เราอยู่นี้คือ เมืองเก่าลี่เจียง มีความพิเศษคือว่า เมืองนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1997 เลยเชียวนะ






รูปแบบการแต่งร้าน การจัดวาง สวยงาม ลงตัว น่าเดินมาก


สิ่งนึงที่ถือเป็น Signature ของเมืองเก่าลี่เจียง คือ เพลงประจำเมือง ที่เปิดกันทั่วไปแทบทุกร้าน มีผู้หญิงคอยตีกลอง (กลองพื้นเมืองก็ถือเป็นของที่ระลึกขึ้นชื่ออีกเหมือนกันเวลามาเที่ยวที่นี่)



คือเปิดจนร้องตามได้เลย เพราะได้ยินบ่อยจนติดอยู่ในหู

หนึ่งในข้อดีเวลามาเที่ยวจีน คือ เรื่องการถ่ายรูปเด็ก ผมเจอเด็กผู้หญิงคนจีนหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ นั่งอยู่กับคุณแม่ เข้าไปขอถ่ายรูป เค้าก็ไม่ว่าอะไรครับ (ประมาณว่าพวกมุงจะทำอะไรก็ทำไปเหอะ 555+) ถ้าเป็นประเทศอื่นจะโดนเบรคจากพ่อแม่แล้วครับ


ตรงนี้คือจุดที่อยู่ใกล้กับกังหันน้ำ เป็นลานกว้างๆให้คนมานัดเจอกันได้

เดินเล่นไปสักพักเห็นซุ้มป้ายไม้ คนที่นี่แขวนกันเต็มไปหมดเลย ลองเข้าไปถาม เค้ามีขายราคาชุดละ 30 หยวน (150 บาท)



เดินเล่นจนลืมเวลา เริ่มหิวแล้ว หาอะไรกินดีกว่า จากคำแนะนำของหลายๆคน เวลามาเที่ยวลี่เจียง ต้องมาลอง “ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพาน” ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อของแถบยูนนาน

คำศัพท์
Crossing the bridge noodles = Guò Qiáo Mĭ Xiàn (กั้วเฉียวหมี่เซี่ยน) 过桥米线

ตอนแรกเราคิดว่า เจ้าก๋วยเตี๋ยวนี้ต้องอยู่แถวสะพานแน่เลย เราเดินไปเรื่อย #เดินวนไปครับ ถามคนท้องถิ่นว่า “กั้วเฉียวหมี่เซี่ยน ไจ้หนาลี่ / ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานอยู่ที่ไหน” คนที่นี่ก็บอกทางชี้ๆไป จนเราเดินมาถึงบริษัททัวร์เจ้าหนึ่ง เจอกับพนักงานขายทัวร์ เป็นผู้หญิงคนจีนแต่เคยอยู่เมืองไทย เรียนที่เชียงใหม่ พูดไทยพอได้บ้าง ใจดีมาก พาเดินมาส่งถึงร้านเลย

หลักการกินของ ก่วยเตี๋ยวข้ามสะพาน คือ เค้าจะแยกเส้นขนมจีนกับเครื่องไว้ต่างหาก แล้วค่อยใส่ลงไปพร้อมกันในชามน้ำซุปร้อนๆ

สำหรับที่มาของชื่อ “ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพาน” ทำไมต้องข้ามสะพาน?

จากตำนานเล่าขานเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อก่อน ที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งในเขตมณฑลยูนนาน มีเกาะแห่งหนึ่งตั้งอยู่เป็นที่สงบเงียบมาก เหมาะแก่การท่องตำรา สำหรับคนที่จะไปสอบจอหงวน ทีนี้มีนักปราชญ์คนหนึ่งไปท่องตำราบนเกาะนั้นเป็นประจำ ภรรยาของนักปราชญ์คนนั้นเลยต้องส่งอาหารให้เขาทานทุกวัน แต่เนื่องจากระยะทางระหว่างบ้านกับเกาะค่อนข้างไกล ต้องข้ามสะพานจึงจะถึงเกาะนั้นได้ กว่าจะข้ามไปถึงอาหารก็เย็นและจืดชืดหมดแล้ว จนวันนึงเธอต้มไก่แล้วตักน้ำซุปร้อนๆลงไป พบว่าซุปไก่ยังร้อน เธอจึงคิดได้ว่า น้ำมันไก่ที่ลอยขึ้นมาบนซุปสามารถรักษาอุณหภูมิได้ เวลาไปเยี่ยมสามี เธอเลยหิ้วน้ำซุปไก่ที่ร้อนๆ ผัก เนื้อสัตว์ เส้นขนมจีนและเครื่องปรุง พอถึงเกาะก็เอาทุกอย่างมาปรุงเข้าด้วยกัน และเรื่องราวของก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานก็เป็นเช่นนี้แล…

หมูสไลด์สดๆ น้ำซุปกลมกล่อมดี สำหรับบางคนอาจจะชอบเผ็ดๆ ที่นี่ มีพริกเผา ให้เติมได้ครับ

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็กลับที่พักเพื่อเอาของ แต่ระหว่างทางกลับ อยู่ดีๆก็มีคนมากันทาง ไม่ให้ผ่าน

พอคุยกับเค้า ก็ถึงบางอ้อ คือจริงๆที่เราอยู่คือ โซนเมืองเก่า มันมีค่าบำรุง 80 หยวน ต้องจ่ายทุกคน ที่เราเข้าได้เมื่อวานไม่ต้องจ่ายเพราะมันดึกมากแล้วนั่นเอง

เจอสามีภรรยาคู่หนึ่ง ไม่มีบัตรจะเข้าให้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ก็กักไว้ไม่ให้เข้า (น่าจะอารมณ์แบบขาออกไม่เห็นต้องใช้ตั๋ว แต่พอจะกลับเข้าไป ทำไมต้องใช้ด้วยฟร้า)


โดยตั๋วนี้สามารถเอาไปใช้เข้าสวนสระมังกรดำ (Black Dragon Pool) ที่เราจะไปตอนบ่ายได้

วิธีเดินทางไปสระมังกรดำ = ตั้งต้นจากกังหันน้ำ เดินขึ้นเหนือ ไปตามทางที่ลูกศรชี้เลยครับ

เดินผ่านร้านขายเนื้อจามรี ใครอยากลองของแปลกก็ไปลองกันได้ครับ

ระหว่างทาง ต้นไม้เยอะร่มรื่นมาก เดินได้สบายๆ

ถึงหน้าทางเข้าสวนแหล่วว

เพียงแค่ยื่นตั๋วเมืองเก่า ใบเหลืองๆให้เจ้าหน้าที่ดูก็เป็นอันเสร็จพิธี


ถึงแล้วครับ สระมังกรดำ ตามตำนาน สถานที่แห่งนี้เคยพบมังกรปรากฏกายใต้น้ำบ้าง ผุดขึ้นมาจากสระบ้าง

โดยมุมมหาชนก็ต้องมุมนี้เลยครับ เก๋งจีน + สะพาน + สระสะท้อนน้ำ พร้อมฉากหลังเป็นภูเขาหิมะมังกรหยก วันที่ไปโชคไม่ค่อยดี ท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร บังภูเขาหิมะจนมองไม่เห็นเลย >.< แนะนำให้ลองไปเก็บภาพช่วงเช้า น่าจะสวยงามกว่านี้

ภาพถ่ายจากมุมสูง

บริเวณรอบๆมีสวนให้เดินเล่น มีพื้นที่สีเขียวให้นั่งผ่อนคลาย




เดินกลับมาตรงทางเข้า จะเห็นร้านเช่าชุดข้างๆ คนที่นี่ชอบเช่าชุดมาถ่ายรูปกัน บางคู่มาถ่าย Pre-Wedding ก็มี

ผมกับน้องที่ไป คอนเฟิร์มเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ๊คนนี้สวยที่สุดในวัด
อยากจะบอกว่า เข่ออ้าย (น่ารัก) >.< แต่ก็เกรงใจแฟนเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ 555




เก็บภาพกันพอประมาณ ได้เวลาอันสมควร ก็เดินกลับมาในเมือง



เจอเด็กมีจิตวิญญาณนักบิดเต็มขั้น …ไปซิ่งกับน้องมั้ยพี่ชายยย

เริ่มมืด เรามีโปรแกรมขึ้นไปเก็บแสงเย็นที่ จุดชมวิว Wenchang Palace

ทางเดินไป ของกินเพียบบ


ขอสารภาพว่าตอนเดินขึ้นไป หลงครับ !!! เนื่องจากตรอกซอกซอยเยอะแยะมาก แต่สุดท้ายก็ค่อยๆแกะเส้นทางจนไปถึงที่จนได้



แท่นแท้นน!! Lijiang Nightscape สวยจริงครับ คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา




ลงมาจากวัด Wenchang เดินผ่านศูนย์อาหารของเค้า เลยเดินเข้าไปดูซะหน่อย





หลายคนบอกว่า ถ้าอยากชมความสวยงามที่แท้จริงของลี่เจียง ให้ออกมาเดินเที่ยวตอนกลางคืน

ตอนแรกผมก็คิดนะว่า จะสวยขนาดไหนกันเชียว จนกระทั่งได้เห็นแวบๆเมื่อคืน ตอนเดินไปที่พัก ชอบมากก ถ้าได้ไปเดินเล่น คงฟินน่าดู (แล้วก็ฟินจริงๆ)

ลี่เจียงตอนประดับไฟคือสิ่งดีงามมาก สวยแค่ไหน ไปชมกันเลยครับ











—————-

Part 0 – ก่อนออกเดินทาง

Part 1.1 – คุนหมิงเมืองหลวงแห่งมณฑลยูนนาน

Part 1.2 – พิชิตเขาซีซาน ลอดประตูมังกร

Part 2.1 – ลี่เจียงเมืองมรดกโลก UNESCO

Part 2.2 – ภูเขาหิมะมังกรหยก & ไป่สุยเหอ ที่สุดแห่งความงามทางธรรมชาติ

Part 3.1 – แชงกรีล่า… เส้นขอบฟ้าที่จางหาย

Part 3.2 – วัดซงจ้านหลินสัมผัสกลิ่นอายของธิเบต

Comments

comments

Share

Panupong Yokyongsakul

The Tourist Diary เกิดขึ้นจากความรักและความหลงใหลในเสน่ห์ของการเดินทาง-ท่องเที่ยวของผมและครอบครัว โดยมีจุดประสงค์เพื่อการบอกเล่าและแบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยว ผ่านตัวอักษรและภาพถ่าย ในมุมมอง ความรู้สึก จากสายตาและหัวใจ ของนักเดินทางธรรมดาๆคนหนึ่ง ให้แก่เพื่อนเดินทางที่มีความต้องการในการเติมเต็มความฝันของชีวิตด้วยการท่องโลกใบนี้