China

รีวิวจัดเต็ม คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า : [Part 2.2 – ภูเขาหิมะมังกรหยก & ไป่สุยเหอ ที่สุดแห่งความงามทางธรรมชาติ]

รีวิวจัดเต็ม คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า : [Part 2.2 – ภูเขาหิมะมังกรหยก & ไป่สุยเหอ ที่สุดแห่งความงามทางธรรมชาติ]

ตอนนี้ขอพาไปเที่ยว ภูเขาหิมะมังกรหยก กันนะครับ

ตอนที่แล้ว Part 2.1 – ลี่เจียงเมืองมรดกโลก UNESCO

 

Day 4: Jade Dragon Snow Mountain – Impression Lijiang – Blue Moon Valley

เข้าสู่วันที่ 4 เกือบถึงครึ่งทางของทริปนี้แล้ว วันนี้โปรแกรมเต็มเหยียดเพราะเราจะออกนอกเมืองไปเที่ยว ภูเขาหิมะมังกรหยก (เรียกสั้นๆว่า ภูเขาหิมะ ละกันนะ) จากที่ทำการบ้านมา เราสามารถไป ภูเขาหิมะ ได้สองแบบ คือ
– ซื้อทัวร์
– เช่ารถ ให้คนท้องถิ่นขับพาเที่ยว

พูดถึงจุดเด่น-จุดด้อยของแต่ละแบบ

ซื้อทัวร์
จุดเด่น – ถูกกว่าไปเอง เก็บสถานที่สำคัญครบ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก เขาจัดการให้หมดทุกอย่าง
จุดด้อย – เวลาแต่ละที่จำกัดมาก ต้องตามติดไปกับทัวร์ตลอด + เรื่องภาษา เราจะไม่ค่อยอิน เพราะทัวร์พูดจีนอย่างเดียว

เช่ารถ
จุดเด่น – อิสระมาก อยากแวะที่ไหนนานเท่าไรก็ได้ + เลือกตัด/เพิ่มบางโปรแกรมในทัวร์ได้
จุดด้อย – ต้องจัดการเรื่องตั๋วเองทุกอย่าง (มีโอกาสตั๋วหมด ถ้าไปซื้อไม่ทัน) + ราคาแพงกว่าไปทัวร์ถ้าโปรแกรมเดียวกัน แต่ถ้ารวมๆไปกันหลายคนจะราคาถูกลง

พอได้คุยกับน้องที่ไป ตกลงกันว่าเราจะเช่ารถดีกว่า เพราะชอบถ่ายรูปด้วยกันทั้งคู่ อยากแวะแต่ละที่นานหน่อย เราเลยให้น้ำหนักในเรื่องของเวลามากกว่า ยอมจ่ายแพงขึ้น คิดว่าถ้าได้รูปสวยๆ ยังไงก็ต้องคุ้ม เชื่อสิ

ขอเล่าประสบการณ์หาทัวร์ไปภูเขาหิมะ เป็นอะไรที่สนุกและตื่นเต้นเลยอยากมาแชร์ให้อ่านกันครับ


เมื่อวานครับ ตอนสายๆ ก่อนออกจากที่พัก ได้ลองถามที่พัก เรื่องทัวร์ไปภูเขาหิมะ แต่ก็อย่างที่บอก สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะคนที่โรงแรมพูดอังกฤษไม่ได้ เลยคิดว่าออกมาหาเอาในเมืองดีกว่า

เข้าเมืองลี่เจียง ขณะเดินอยู่ริมถนน เจอคุณป้าคนนึงมาเสนอขายทัวร์ให้เรา ตอนแรกเราทำท่าว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ก็ต้องหยุดคุยต่อเพราะ คุณป้าแกพูดอังกฤษได้ !! แม้ว่าสำเนียงจะไม่ได้ชัดเป๋ะ แต่ก็พอสื่อสารรู้เรื่อง เธอบอกว่าสามีแกเป็นคนขับ แถมเคลมว่าพูดอังกฤษได้ดีกว่าคุณป้าอีกนะ เธอคิดราคาเหมาทั้งวัน 300 หยวน ตอนนั้นเรายังตัดสินใจไม่ได้ (กะว่าไปเดินหาเจ้าอื่นก่อน) เลยขอบคุณพร้อมขอนามบัตรเค้าไว้ เผื่อติดต่อกลับ

คือรู้สึกชิลมากตอนนั้น คิดว่าน่าจะหาได้ไม่ยาก ไปเที่ยวสระมังกรดำจนเสร็จ ต่อด้วยเก็บแสงเย็น เพิ่งคิดได้ว่า ยังไม่ได้หารถเช่าพรุ่งนี้เลยเว้ยเฮ้ย ! ตายละ เลยต้องเดินเข้าไปถามบริษัททัวร์ที่อยู่แถวกังหันน้ำ เดินไล่ถามไปเลย ประโยคแรกที่ถาม “Can you speak English?” ถ้าเขาส่ายหน้า ทำหน้าเบ้ใส่ หรือพ่นภาษาจีนมา ก็ทำใจแล้วเดินออกมาเลย ไม่ต้องไปคิดมาก เดินหาอยู่เป็นชั่วโมง เป็น 10 เจ้า ไม่เจอสักที ได้แต่ภาวนา มันต้องได้สักแห่งสิๆ

อยู่ดีๆก็ปิ๊งขึ้นมา เพิ่งนึกออกได้ว่า ทำไมไม่ลองกลับไปหาเจ้าที่พาเราไปส่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวตอนกลางวันดูล่ะ เพราะเจ้านี้พูดอังกฤษได้แน่นอน (เริ่มนึกถึงเพลงของ Groove Riders อยากหยุดๆชีวิต หยุดกับเจ้านี้ จนเต็มแก่)

ไปถึงก็คุยภาษาอังกฤษกัน ถามเค้าว่า ยังพอมีรถเช่าว่างอยู่มั้ย ไปกัน 2 คน พี่พนักงานก็ต่อสายไปหาหัวหน้า เช็คแล้วว่ามีรถ เย่!! แต่ว่าคนขับพูดอังกฤษไม่ได้นะ (แป่วว) + ไม่สามารถหาตั๋วเคเบิลคาร์ขึ้นภูเขาหิมะเส้นยอดฮิตได้ (จริงๆมันมีกระเช้าขึ้นไปได้ 3 ทาง แต่ต่างความสูงกัน เส้นยอดฮิตคือกระเช้าจะไปจอดระดับความสูงสูงสุด) – ผมนี่สตั๊นท์ไป 3 วิ เอาไงดีวะ

ตอนนั้นเวลา 4 ทุ่มกว่า บริษัททัวร์ใกล้ปิด เริ่มลังเลละว่าจะเอาหรือไม่เอาดี บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเราเคยคุยกับคุณป้าคนนึงตอนกลางวันนี่หว่า เลยขอยืมมือถือคนแถวนั้นรีบโทรถามว่า พรุ่งนี้รถยังว่าง + มีตั๋วเคเบิลคาร์ไหม? คุณป้าบอกว่า ว่างจ้าาาา + มีตั๋วด้วย ผมนี่แทบจะร้องไห้ สวรรค์มาโปรดแล้ว ฮืออ เลยตกลงเวลา+สถานที่สำหรับนัดเจอกัน จบดีล!

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า วันหลังจะติดต่อไรทำให้เสร็จก่อนออกไปเที่ยว จะได้ไม่ต้องลุ้นจนตัวเกร็ง แบบนี้เฉียดฉิวไป


ด้านบนของบริษัททัวร์ที่เราไปติดต่อ (ชื่อบริษัท Tour Luguhu) ด้านล่างเป็นของคุณป้าที่เราไปติดต่อ

กลับเข้าเรื่องของเราต่อๆ

ออกจากที่พักตอน 6 โมงกว่าๆ เพราะมีนัดกับคนขับไว้ตอน 7 โมง ไปถึงจัตุรัสกลางเมือง คนโล่งเลย คนละเรื่องกับเมื่อคืน

เห็นเงียบๆไม่มีคนแบบนี้ แต่มีอาหารเช้าขาย ไม่ต้องกังวลสำหรับใครหลายคนที่ต้องออกเดินทางแต่เช้า

อาหารส่วนใหญ่เป็นพวกของทอด ติ่มซำ เช่น กุยช่ายทอด เกี๊ยวทอด ปาท่องโก๋ ซาลาเปา ฯลฯ

เกือบ 7 โมง เดินมารอคุณลุงคนขับที่หน้าร้าน KFC พอไปถึงแกเหมือนรู้ว่ามาสองคน เลยโบกมือเรียก

หลังจากได้ทักทายกัน ลุงคนนี้ชื่อว่า มู่ฮวา (Mu Hua) เป็นคนท้องถิ่น อาศัยอยู่นอกเมืองลี่เจียงทางที่จะไป ภูเขาหิมะมังกรหยก แกทำธุรกิจรถเช่ามาหลายปีแล้ว ชำนาญเส้นทางเลยแหละ

ตกลงราคากับลุงได้ 300 หยวนต่อวัน ถือว่าปกติ ถ้าต่อได้น้อยกว่านี้ ถือว่าสุดๆแล้วครับ – ลืมบอกว่ารถที่เราเช่า นั่งได้ 4-5 คนเลยทีเดียวครับ ถ้ามาหลายคนหารกัน คุ้ม !!

เรื่องภาษา สื่อสารกับเราได้ถือว่าโอเคแล้วนะ คือดูเก่งเลยถ้าเทียบกับคนจีนทั่วไป

ภูเขาหิมะ อยู่ห่างออกมานอกเมืองประมาณ 30 km ใช้เวลาประมาณ 30-40 ก็ถึงครับ

ตอนเช้าๆ อากาศดี เห็นยอดภูเขาหิมะจากในเมืองด้วยแหละ

หน้าตารถของเรา

คุณลุงขับรถพาเราไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าก่อน พอถึงที่ขายตั๋ว คนมาต่อคิวกันเต็มเลย เราก็ไปยืนต่อกับเขา เป็นที่กั้นแคบๆ แค่ตอนรอซื้อตั๋วก็มันส์แล้วครับ มีคนพยายามมาขายตั๋วผีเราด้วยล่ะ แต่เราไม่หลงกล ยืนตรงนั้นสักพัก ลุงคนขับของเราก็เดินมาหา มาช่วยดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม (ใจดี๊ ใจดี)

ที่นี่ตำรวจ/เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เข้มงวดมาก มาไล่พวกขายตั๋วผี + จอมแซงคิว เชื่อว่าเมื่อก่อนคงเละตุ้มเป๊ะกว่านี้ เดี๋ยวนี้น่าจะดีขึ้นเยอะ

ได้ตั๋วมาแล้ว ตอนนี้เราซื้อแค่ตั๋วขึ้นกระเช้าเคเบิลคาร์ (180 หยวน) และตั๋วรถบัสวิ่งในอุทยาน (20 หยวน)

ลุงคนขับกระซิบมาว่า เราโชคดีมากไปซื้อทัน ตั๋วเคเบิลคาร์หมดแล้วโควตาที่ขายวันนี้ (เข้าใจแล้วที่ลุงกำชับมาบอกให้ออกแต่เช้า)

ซึ่งตั๋วใบนี้ใช้สำหรับขึ้น Glacier Park ซึ่งเป็นเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว

จริงๆแล้วรถกระเช้าขึ้น ภูเขาหิมะมังกรหยก มี 3 เส้นทางครับ ซึ่งความสูงรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวก็จะลดหลั่นลงมา

– Glacier Park ความสูง 4506 เมตร
– Yak Meadows ความสุง 3650 เมตร
– Spruce Meadows ความสูง 3200 เมตร

โดยสองกระเช้าหลังแทบไม่มีนักท่องเที่ยวไปเลย ส่วนใหญ่กรูไปที่กระเช้าแรกหมด เพราะได้เห็นวิวสวยสุด

ได้เวลาเดินทางกันต่อ ก่อนเข้าอุทยาน จะมีด่านเก็บเงินค่าเข้าด้วยครับ (หน้าตาคล้ายๆด่านบนทางหลวงบ้านเรา) ค่าเข้า 130 หยวน สำหรับบุคคลทั่วไป ถ้าเรียนอยู่ โชว์บัตรนักศึกษาสามารถลดได้ครึ่งนึง เหลือ 65 หยวน

ระหว่างทางขอลุงแวะจอดถ่ายรูปหน่อย

ขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ คุณลุงบอกว่า เดี๋ยวจะพาแวะจุดที่คนลงไปถ่ายรูปกันเยอะๆ วิวดีกว่าส่องจากในรถอีก แหม่แล้วไม่บอกล่ะลุงงง

ถึงแล้ววว จุดที่ลุงบอก  ตรงนี้ เราวสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมะมังกรหยกทอดตัวเป็นแนวยาวได้ชัดเจน


ใกล้ๆกันมีหินศักดิ์สิทธิ์ที่คนจีนมักมายืนถ่ายรูปกัน

ตรงนี้ถ่ายรูปเพลินมากครับ เจอคนเลี้ยงม้าผ่านมาพอดี

รูปนี้ Epic มาก เจอเด็กกำลังนั่งเบ่งอึ๊สส์อยู่ ขออภัยที่ไม่ได้เซนเซอร์นะฮะ ><

เดินทางต่อมาถึงจุดจอดรถ ใกล้กันมีสถานที่ชมการแสดง Impression Lijiang โดยผู้กำกับ จาง อวี้ โหมว เป็นการแสดงที่คนท้องถิ่นที่นี่ภาคภูมิใจเสนอมาก

แต่หลายคน (รวมถึงเรา) ก็ต้องมาสะดุดกับราคาบัตร ซึ่งแพงมั่กๆตั้ง 248 หยวน (1250 บาท) แต่ไหนๆมาถึงแล้ว ไม่อยากพลาดก็จัดไป !!

มาก่อนทัวร์ลงแป๊บเดียว โชว์เริ่มแสดงตอน 10:10 น.


บัตรราคาปกติ นั่งได้ทุกที่เลยนะครับ ยกเว้นที่นั่งสีแดงตรงกลางด้านบนเป็นที่นั่งสำหรับบัตร VIP ดูแล้วไม่ต่างกันเท่าไรเลยครับ

ถ้าอยากได้มุมสวยๆ พยายามมาถึงเร็วๆ แล้วเลือกที่นั่งด้านบนครับ จะเห็นวิวภูเขาเป็นฉากหลังพอดี

เป็นการแสดงที่ใช้คนเยอะมากกก
















จบแล้ว เป็นการแสดงที่อลังการงานสร้างมากๆครับ คนที่นี่ตั้งใจนำเสนอมาก หากใครที่มาเที่ยว ภูเขาหิมะมังกรหยก ไม่อยากให้พลาดเลย

จบจากการแสดง เราเดินไปที่สถานีสำหรับต่อรถไปกระเช้า ที่นี่คนมหาศาลล้านแปด ยืนเป็นแถวยาว รอขึ้นรถบัสสีเขียว (ใช้ตั๋วที่เราซื้อพร้อมกับตั๋วขึ้นกระเช้า) เพื่อนั่งต่อไปสถานีกระเช้าเคเบิลคาร์


ส่วนใหญ่ที่เห็นคนสวมเสื้อกันหนาวสีแดง/ส้ม คือพวกมากับทัวร์ ใครที่ไม่ได้เตรียมมา เค้าก็มีให้เช่าครับ



จำได้ว่าต่อแถวรอนานมาก เกือบชั่วโมงได้ กว่าจะได้ขึ้นรถ

พอได้ขึ้นรถบัส คนเยอะอีกเช่นเคย ที่นั่งเต็มก็ยืนเบียดกัน ขับลัดเลาะขึ้นเนินเขาไปจนถึงที่ขึ้นกระเช้า

ถึงสถานีเคเบืลคาร์

ก่อนทางเข้ามีของกิน/น้ำดื่มขาย ต้องทำเวลาสุดๆเพราะแถวไปเร็วมาก ควักเงินแล้วรีบจ่ายตังค์ ผมเลยซื้อช็อคโกแล็ตบาร์ติดไปอันนึง (ไม่แพงนะ รู้สึกแท่งละ 10 หยวน พอๆกับข้างล่าง)

ขึ้นกระเช้าแล้ว

นั่งขึ้นไปผ่านเมฆหลายชั้น สักพัก หมอกมาเต็มจ้า ที่เห็นใสๆข้างล่างมันคืออัลไล / เห็นแล้วแทบอาลัย T_T

ทำใจไว้แล้ว ขึ้นไปข้างบนคงเฟลแน่นอน เลยหยิบช็อคโกแล็ตบาร์มากินแก้เซ็ง

อยากบอกว่าช็อคโกแล็ตบาร์เป็นของกินที่พกพาง่ายแถมให้พลังงานสูง กินไปแท่งนึง หายท้องว่างเลย มีติดตัวไว้ไม่เสียหลาย


ขึ้นกระเช้าขึ้นมา เห็นหลายคนมีกระป๋องออกซิเจนพกติดตัวกันหมด เราก็คุยกัน จะไหวป่าววะเนี่ย พอก้าวออกจากสถานีเคเบิลคาร์ ก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวนิดๆ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เท่านั้นแหละ อาการปวดหัวตึ้บๆ มาจากไหนก็ไม่รู้ ระหว่างเดิน สังเกตตัวเองว่าเหนื่อยง่ายขึ้น หายใจถี่กว่าปกติ ใช่แล้ว เราโดนอาการแพ้ความสูง (Altitude Sickness) เล่นงานเข้าแล้วครับ

ถือเป็นความหละหลวมของเราเอง คิดว่าเป็นวัยรุ่นแข็งแรง ไม่ต้องใช้หรอก เลยชะล่าใจไปหน่อยไม่ซื้อเก็บไว้ แต่ก็ดี ถือเป็นบทเรียนละกันเนอะ ได้เจออะไรแบบนี้บ้าง แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่สนุกเลยครับ

เอ้า ซู้ดดด

ซู้ดด อ่าาาห์

คนไม่มีป๋องออกซิเจนก็ต้องทนต่อปายยย

สมงสมองไปหมดแล้ว

แพลนตอนแรกกะเดินไปถึงสุดทาง แต่เจออากาศแบบนี้ + สภาพความฟิตตัวเอง เลยขอบายจ้าา อยู่แถวนี้พอ


นี่เรามาเที่ยวเมืองจีน หรือดินแดนฟ้าขาวอาร์เจนติน่ากันนะ (ขาวไปหมด) -*-

หมอกเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ #ทีมลูกพระอาทิตย์ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อากาศยังคงเลวร้าย เลยลงดีกว่า

จุดหมายต่อไป น้ำตกไป่สุยเหอ หรือ Blue Moon Valley เราเคยเห็นที่นี่จากในโปสการ์ดแล้วชอบมาก ต้องไปที่นี่ให้ได้


เราไปขึ้นรถที่ตึกเดิม ที่เดียวกับที่ขึ้นรถไปภูเขาหิมะ แต่ต้องเดินลงไปชั้นล่าง

ไปสุ่ยเหอเป็นธารน้ำตกหลายชั้น โดยน้ำตกจะเป็นเส้นแบ่งทะเลสาบออกเป็นหลายแห่ง เวลาเที่ยวแนะนำให้เริ่มจากขวาสุดของแผนที่ ไล่จากชั้นที่สูงลงไป

1. White Water Terrace* ไฮไลท์สำคัญ ควรแวะตรงนี้ก่อน
2. Yuye Lake
3. Jingtan Lake
4. Lanyue Lake
5. Tingtao Lake

1. White Water Terrace จุดเด่นอยู่ที่ชั้นน้ำตกที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่น ตรงนี้มีกิจกรรมแนะนำสำหรับใครที่อยากมีรูปสวยๆคู่กับวิวภูเขา นั่นคือ การขี่จามรี (Yak Ride) นั่นเองครับ ราคาคนละ 50 หยวน (ประมาณ 250 บาท)

ทิ้งกล้องถ่ายรูปให้กับคนจูงได้เลยครับ เค้าจะให้เราแอ็คท่า ทำตามเค้าไปรับรองได้รูปสวยๆแน่นอน



โปรไม่โปรดูวิธีการจับกล้องซะก่อน – ใครที่จะขี่อย่าลืมเอากล้องติดตัวไปด้วยนะ ไม่งั้นไม่มีรูปสวยๆนา


เดินผ่าน 2. Yuye Lake น้ำในทะเลสาบเขาใสจริงๆ อันนี้ไม่ได้แต่งสีเลยครับ เป็นแบบนี้จริงๆ

เดินต่อมาถึง 3. Jingtan Lake จุดนี้จะมีชั้นน้ำตกคั่น


ตอนนั้นฝนตกลงมาปรอยๆครับ เลยต้องกางร่มกัน

4. Lanyue Lake แม้ว่าจะน้ำตกจะเล็กกว่า แต่ก็สวยดีนะผมว่า

เราเดินมาตามทางเรื่อยๆ เลียบทะเลสาบ ทางเดินทำไว้ดีมากๆครับ เดินได้สบายๆ








ตรงชั้นน้ำตก เราสามารถเดินไปเดินมาได้นะครับ ถึงเวลาใช้สกิลวิชาตัวเบา ไม่อันตรายมากแต่ต้องระวังหน่อย


5. Tingtao Lake

สุดทางตรงนี้ จะเจอน้ำตกชั้นสุดท้าย


เดินมาแวะซื้อของกินก่อนขึ้นรถกลับ เหนื่อยมากครับวันนี้ ขากลับนี่สลบไสลเลยทีเดียว ออกจากอุทยานประมาณ 5 โมงกว่าๆได้

สรุปที่ไป่สุยเหอ เราเจอฝนเป็นช่วงๆ แต่โชคดีที่ตอนขี่จามรี ไม่มีฝน ฟ้าเปิดเป็นใจมาก

นั่งรถผ่านรูปปั้นท่านเหมาเจ๋อตุง ตั้งเด่นเป็นสง่า


กลับมาถึงในเมือง คุณลุงคนขับมาหย่อนเราตรงถนนใกล้ๆกับจัตุรัสกังหันน้ำ


เดินๆอยู่ รู้สึกหัวยังตื้อไม่หายจากข้างบน เลยตัดสินใจกลับที่พักก่อน ไปพักสักแป๊บ



พอถึงที่พัก เก็บของ เลยทานยาพารา แก้ปวดหัวจากอาการ Altitude Sickness แล้วงีบสักพักนึง ตื่นมาอาการดีขึ้นมากเลยครับ


ออกไปซื้อของฝาก ของที่ระลึกในเมืองเก่า กลับมาทันเก็บแสงเย็นเมืองลี่เจียง คนละมุมกับเมื่อวานครับ


โดยภาพรวม ผมประทับใจเมืองลี่เจียงมากๆครับ สมกับเป็นเมืองยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทุกสารทิศ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่บรรยากาศดีคลอเคล้าไปด้วยเสียงดนตรี ผู้คนน่ารัก โอย เยอะแยะครับ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับมาเที่ยวอีก

—————-

Part 0 – ก่อนออกเดินทาง

Part 1.1 – คุนหมิงเมืองหลวงแห่งมณฑลยูนนาน

Part 1.2 – พิชิตเขาซีซาน ลอดประตูมังกร

Part 2.1 – ลี่เจียงเมืองมรดกโลก UNESCO

Part 2.2 – ภูเขาหิมะมังกรหยก & ไป่สุยเหอ ที่สุดแห่งความงามทางธรรมชาติ

Part 3.1 – แชงกรีล่า… เส้นขอบฟ้าที่จางหาย

Part 3.2 – วัดซงจ้านหลินสัมผัสกลิ่นอายของธิเบต

Comments

comments

Share

Panupong Yokyongsakul

The Tourist Diary เกิดขึ้นจากความรักและความหลงใหลในเสน่ห์ของการเดินทาง-ท่องเที่ยวของผมและครอบครัว โดยมีจุดประสงค์เพื่อการบอกเล่าและแบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยว ผ่านตัวอักษรและภาพถ่าย ในมุมมอง ความรู้สึก จากสายตาและหัวใจ ของนักเดินทางธรรมดาๆคนหนึ่ง ให้แก่เพื่อนเดินทางที่มีความต้องการในการเติมเต็มความฝันของชีวิตด้วยการท่องโลกใบนี้