Goodbye… Brendan Rodgers
วันนี้อาจจะมาแปลกซะหน่อย
ไม่เหมือนกับเรื่องก่อนๆ
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกมกีฬา
และหากพูดถึงกีฬาที่เล่นเป็นทีม
และได้รับความนิยมอย่างสูง
ก็คงหนีไม่พ้น “ฟุตบอล”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผลการแข่งขัน ข่าวความเคลื่อนไหว
ของทีมสโมสรบนเกาะอังกฤษ
ที่คนไทยชื่นชอบและให้ความสนใจ
มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวผมเองด้วย
ตลอดวันสองวันที่ผ่านมา
เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามฟุตบอล
คงต้องได้ยินข่าวการเปลี่ยนแปลง
ตัวผู้จัดการทีมที่เป็น
Talk of the Town
ในวงการลูกหนัง คือ
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
พ้นสภาพจากการเป็น
ผู้จัดการทีมสโมสรลิเวอร์พูล
หลังรับใช้สโมสรมากว่า 3 ปี
แม้ว่าจะมีเริ่มมีข่าวมาสักพักแล้ว
แต่การประกาศอย่างเป็นทางการ
ทันทีหลังจบเกมที่เสมอกับทีมเอฟเวอร์ตัน
ซึ่งมาแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่ทันตั้งตัว
เป็นเรื่องที่น่าตกใจจนปรับอารมณ์แทบไม่ทัน
หลายคนอาจเสียใจ
หลายคนอาจสงสาร
หรือบางคนอาจดีใจ
กับการจากไปของเขา
ในฐานะที่ผมเป็นแฟนบอลตัวยงของทีม
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล (ติดตามเชียร์มานาน
ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของโอเว่น ฟาวเลอร์
แม็คมานามานมาจนถึงยุคเจอร์ราร์ด ซัวเรซ
เรียกได้ว่า รองจากครอบครัว เพื่อนๆ
ก็มี สโมสรแห่งนี้ ที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก)
รู้สึกใจหาย และ เศร้าไม่น้อยกับข่าวที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับชาวเดอะค็อป (กองเชียร์ลิเวอร์พูล)
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน
ภาพชินตาที่เห็นเขา
ยืนอยู่ข้างสนามทุกๆอาทิตย์
จดเลกเชอร์ยิกๆ วิเคราะห์เกม
ตะโกนสั่งผู้เล่นในสนาม
ชูมือขึ้นฟ้า ร่วมยินดีไปกับทีม
ยามทำประตูได้
ภาพเหล่านั้นกำลังเลือนหายไป
เป็นเรื่องปกติ
ที่เราทุกคนรู้กันดีว่า
คนเก่าไป คนใหม่มา
คือวิถีของทุกวงการ
ไม่เว้นแม้แต่กีฬาฟุตบอล
โลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
การจากลาจึงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
การถูกบอกเลิก ถูกปฏิเสธ
ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากเสมอ
Brendan Rodgers
คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
ในด้านการนำทีมฟุตบอลหรือองค์กร
ไปสู่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้
แต่เขาก็ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลง
หลายสิ่งหลายอย่างให้กับทีม
ถ้าใครที่ติดตามเชียร์และยังจำกันได้
จะรู้ว่าฤดูกาล 2013/14 นั้น
ทีมหงส์แดง “เข้าใกล้แชมป์” มากแค่ไหน
ซึ่งประจวบเหมาะกับตอนที่
ผมไปเรียนต่อโทที่ UK พอดี
และได้มีโอกาสไปเจอตัวเป็นๆ
ที่สนามซ้อม Melwood
เพื่อไปขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น
พอได้พูดคุยกันสองสามประโยค
ก็รู้เลยว่า Brendan Rodgers เป็นคนที่ถ่อมตัว
อัธยาศัยดี เป็นมิตรกับแฟนบอลมาก
มุ่งมั่น ทุ่มเทเกินร้อยเวลาทำงาน
และเขามักจะเป็นคนสุดท้าย
ที่ออกจากสนามซ้อม
หลังจากที่นักเตะกลับกันหมดแล้ว
แม้ว่าเหตุการณ์หลายๆอย่าง
ที่ผ่านมาจะไม่เป็นใจสักเท่าไร
นักเตะตัวสำคัญเจ็บยาว ย้ายออกไปบ้าง
นักเตะใหม่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้เต็มที่
บวกกับความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน
กับบอร์ดบริหารในบางเรื่อง
การแยกทางจึงเป็นทางออกสำหรับปัญหา
และผลประโยชน์โดยรวมต้องมาก่อน
นอกเหนือจากการวางรากฐาน
พัฒนาผู้เล่นดาวรุ่งและเยาวชน
ซึ่งต้องใช้เวลาในการสร้าง
ในยุคที่ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ผู้จัดการทีมมักไม่มีเวลาลองผิดลองถูกมากนัก
พวกเขาต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวง
และรับผิดชอบไปเต็มๆ
ถ้าหากระบบที่พวกเขาสร้าง มันไม่เวิร์ค
ซึ่งเป็นจุดที่น่าเห็นใจ
สำหรับผู้จัดการทีมสมัยนี้
เพราะอดีตก็ไม่เคยหวนคืนมาให้แก้ไข
และชีวิตของเรายังต้องก้าวเดินต่อไป
ไม่ว่าใครจะมารับช่วงต่อ
เราจะสนับสนุนและเชียร์อย่างเต็มที่
เหมือนที่เคยทำมาโดยตลอด
ขอใช้พื้นที่เล็กๆตรงนี้ เพื่อบันทึกเรื่องราว
เหตุการณ์ ความทรงจำดีๆ ที่มีต่อ
ผู้จัดการทีมที่น่าเคารพนับถือคนนึง
ขออวยพรให้คุณโชคดี ในก้าวต่อไปของชีวิต
และไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่แห่งไหนของโลก
จงรำลึกไว้เสมอว่า
“You’ll Never Walk Alone”
คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย